โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบในประเทศเขตร้อน และระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี อาการมีตั้งแต่ไม่รุนแรง ไปจนถึงเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งในปัจจุบัน ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2564 เริ่มมีการแพร่ระบาดในบางพื้นที่ ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้ว
เชื้อไวรัสเดงกี มี 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 มียุงลายเพศเมีย เป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายดูดเลือดจากผู้ป่วยในระยะที่มีไข้ ซึ่งมีเชื้อไวรัสในกระแสเลือด เชื้อจะเข้าไปฝังตัวในกระเพาะยุงและต่อมน้ำลายของยุง โดยมีระยะฟักตัวในยุง ประมาณ 8-12 วัน เมื่อยุงที่มีเชื้อไปกัดคนอื่น เชื้อไวรัสก็จะเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่โดนกัด ก่อให้เกิดการติดเชื้อและป่วยตามมา หลังจากถูกกัดประมาณ 3-15 วัน
สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย แต่พบบ่อยในเด็กวัยเรียนและวัยทำงานตอนต้น ผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยง ต่ออาการรุนแรง หรือ เกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ เด็กทารกและผู้สูงอายุ, หญิงตั้งครรภ์, ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร, ผู้หญิงที่อยู่ระหว่างมีประจำเดือนหรือมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด, ผู้ที่มีโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่าย หรือโรคที่เกิดจากฮีโมโกลบินผิดปกติ, ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด, ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น อ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบหืด โรคหัวใจขาดเลือด ไตวาย ตับแข็ง, ผู้ที่รับประทานยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือยาในกลุ่มยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory หรือ NSAIDs)
โดยทั่วไปการติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80 – 90) อาการจะไม่รุนแรง บางรายอาจมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก และมีผื่นที่ผิวหนังได้ แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อครั้งที่สอง โดยเชื้อไวรัสที่สายพันธุ์ต่างจากครั้งแรก อาจมีอาการรุนแรงเกิดเป็นภาวะไข้เลือดออกได้
ซึ่งแบ่งออกได้ 3 ระยะ คือ
- ระยะไข้ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกือบตลอดเวลา มักไม่ค่อยตอบสนองต่อยาลดไข้ อาจมีอาการ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามลำตัว แขน ขา ระยะนี้จะเป็นอยู่ราว 2-7 วัน
- ระยะวิกฤติ ระยะนี้ไข้จะเริ่มลดลง ผู้ป่วยที่เกิดภาวะแทรกซ้อนเลือดออก อาการจะไม่ดีขึ้น ยังคงเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย มากกว่าเดิม ต่างกับผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนซึ่งอาการต่างๆ ค่อยๆ ดีขึ้น ผู้ป่วยที่อาการรุนแรง อาจเกิดภาวะช็อก มีความดันโลหิตต่ำ มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาเร็ว ปัสสาวะออกน้อย ร่วมกับมีเลือดออกง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ระยะนี้กินเวลา 24-48 ชั่วโมง ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยมีไข้เกิน 2 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษา
- ระยะฟื้นตัว อาการต่างๆ จะเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยอยากรับประทานอาหาร ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรงขึ้นและช้าลง ปัสสาวะมากขึ้น บางรายมีผื่นแดงและมีจุดเลือดออกเล็กๆ ตามลำตัว
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพดีในการรักษาโรคไข้เลือดออก การรักษาประคับประคองที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม จะทำให้ผู้ป่วยกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งในรายที่อาการไม่รุนแรง อาจหายได้เองภายใน 2-7 วัน
สำหรับการดูแลอาการเบื้องต้น มีดังนี้
- ผู้ป่วยควรได้รับอาหารและนํ้าดื่มอย่างเพียงพอ ควรรับประทานอาหารอ่อนและงดอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีดำ แดง หรือนํ้าตาล เพื่อไม่ให้สับสนกับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อย อาจให้ดื่มนม นํ้าผลไม้ หรือนํ้าเกลือแร่ร่วมด้วย
- การลดไข้ เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นเพื่อลดไข้เป็นระยะๆ และใช้ยาพาราเซทตามอล เฉพาะเวลามีไข้สูงเท่านั้น ห้ามใช้แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือ ยากลุ่ม (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drug – NSAID) เด็ดขาด เพราะอาจทำให้เลือดออกมากขึ้น
- สังเกตอาการ หากพบว่าผู้ป่วยคลื่นไส้/อาเจียนมาก อ่อนเพลียมาก ปวดท้องมาก รับประทานอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ มีภาวะเลือดออกรุนแรง สงสัยภาวะช็อก โดยเฉพาะเมื่อไข้เริ่มตํ่าลง เช่น ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรเต้นเบาเร็ว มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อย ซึม สับสน กระสับกระส่าย ฯลฯ ควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
การป้องกันโรคไข้เลือดออก
- ระมัดระวังไม่ให้ยุงกัด โดยสวมใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว, การใช้สารไล่ยุงชนิดต่างๆ เช่น DEET, การใช้กลิ่นกันยุง เช่น ตะไคร้ หรือสารเคมีอื่นๆ นอนในมุ้ง เป็นต้น
- เนื่องจาก วัคซีนไข้เลือดออกที่มีจำหน่ายในประเทศไทยขณะนี้ 1 ชนิด มีประสิทธิภาพไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ วัคซีนสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกี และลดความรุนแรงของโรคได้เฉพาะในผู้ใหญ่ หรือเด็กอายุมากกว่า 9 ปี ซึ่งเคยมีการติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อนในอดีต (Seropositive) เท่านั้น สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน (Seronegative) วัคซีนอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นไข้เลือดออกรุนแรง ประมาณ 2 คน ในผู้ที่ได้รับวัคซีน 1,000 คน ในระยะเวลา 5 ปี ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการตัดสินใจ โดยอาศัยข้อมูลจากงานวิจัยล่าสุดทุกครั้ง
- แนะนำให้มีการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณบ้านและชุมชน ตามมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ดังนี้
- เก็บบ้านให้สะอาด เช่น พับเก็บเสื้อผ้าใส่ในตู้หรือแขวนให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง
- เก็บขยะที่อยู่บริเวณรอบบ้าน เก็บภาชนะใส่อาหารหรือน้ำดื่มที่ทิ้งไว้ใส่ถุงดำ และนำไปทิ้งลงถังขยะ เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำเพื่ออุปโภค บริโภค ต้องปิดฝาให้มิดชิด ล้างคว่ำภาชนะใส่น้ำ และ เปลี่ยนน้ำในกระถางหรือแจกันทุกสัปดาห์ ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ ซึ่งจะสามารถป้องกัน 3 โรค คือ
- โรคไข้เลือดออก
- โรคติดเชื้อไวรัสซิกา
- โรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือโรคชิคุนกุนยา
ในการนี้ พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 มีความห่วงใยต่อข้าราชการทหาร ในสังกัดกองทัพภาคที่ 3 และพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ต่อโรคไข้เลือดออก ซึ่งหากพบว่าตนเองหรือ คนรอบข้างมีอาการบ่งชี้ หรือสงสัยว่าป่วยดังอาการดังกล่าว ขอให้ได้ไปพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ หรือโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาต่อไป
More Stories
นครสวรรค์ I ร่วมใจกันบริจาคทำบุญและถวายสิ่งของให้ หลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุ
มิจฉาชีพมารูปแบบใหม่อีก น่ากลัวกว่าเก่า ใช้คลิปเสียง อ้าง ดีเอสไอ
สวนนงนุชพัทยา ร่วมผู้ว่า กทม. ปลูกต้นไม้ล้านต้น สร้างพื้นที่สีเขียวและกำแพงกรองฝุ่น