
ยโสธร : หนุ่มอนาถาหาเก็บของเก่าขายวัย 52 ปี จนนาทีสุดท้ายกายเป็นศพ
หนุ่มอนาถารายนี้ ชื่อ นายบรรพต บุญเกษม วัย 52 ปี มีบ้านอาศัยอยู่กับแม่ 2 คน ชื่อนาง ติ๊ด บุญเกษม อยู่บ้านบ่อ หมู่ 3 ตำบลสำราญ อำเภอเมือง ยโสธร ออกหาเก็บของขายหายออกจากบ้านไปตั้งแต่ วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 7 วัน พบเป็นศพกลางป่าหนาทึบ หลังจากผู้เป็นแม่โล่แจ้ง นาย มนูญ นัยกุล ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยตามหาประชาสัมพันธ์หน่อย หลังได้ทราบผู้ใหญ่บ้าน ก็ได้พากันออกค้นหาอย่างอุตลุด ใช้เวลานานร่วม 1 อาทิตย์ หรือ 7 วัน จนกระทั่งถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ได้มีนาย เจริญ ขุขันขิน เป็นลูกบ้านของบ้านบ่อ หมู่ 10 มีบ้านตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้าน มีป่าทึบอยู่ด้านหลังบ้าน ได้แจ้งมายัง นางสาว เพรชรา งามสาย ผู้ใหญ่บ้าน บ้านบ่อ หมู่ 10 ซึ่งเป็นบ้านติดกันกับ บ้านบ่อหมู่ 3 ตำบลสำราญ บอกได้ส่งกลี่นเหม็นออกมาจากป่าหลังบ้าน
ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 เลยแจ้งไปยังผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 แล้วพบรถจักยานคู่ใจจอดพิงต้นไม้อยู่ทางเข้า ก็เลยเดินเข้าไปภายในป่าประมาน 50 เมตร พบร่างของผู้หายออกจากบ้านนอนงายอยู่ในสภาพเละเน่าเปื่อย มีแมลงวัน ตอมส่งกลุ่มเหมนคาวอบอวนไปทั่ว จึงได้แจ้งไปยังหน่วยกู้ภัย ตำรวจ และหน่วยชันสูจศพของโรงพยาบาลจังหวัดยโสธร ทั้งตำรวจ และหน่วยชนสูจน์ได้ถ่ายรูบันทึกไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้นก็ได้ถามนาง ติ๊ด บุญเกษม ผู้เป็นแม่ ถึงความเป็นมาของประวัติ ทางผูเป็นแม่บอกไม่ติดใจว่ามีผู้ทำร้าย เพราะรู้ว่าลูกของตนเป็นคนชอบออกหาเก็บของขาย บางครั้งก็รับจ้างทั่วไป มีการดื่มเหล้าเป็นประจำ ผู้เป็นแม่ ได้ทราบว่าก่อนลูกของตนจายออกจากบ้าน ให้เพื่อนร่วมบ้านบอกให้ฟังว่า เห็นบอกว่าป่วยไปขอความช่วยเหลืออยากให้พาตัวไปรักษา โดยยื่นบัตรประชาชนให้ แต่ก็ถูกปฏิเสธ จากนั้นมาเป็นเวลา 9 วัน ก็มาพบศพดังกล่าว
สำหรับประวิ นาย บรรพต บุญเกษม หรือ ชื่อเล่น ลอย อยู่กับแม่ 2 คน ออกหาเก๋บของเก่า ของป่า เช่น เก็บดอกบัว หน่อไม้ขาย มาตั้งแต่เกิด บางวันก็ได้เงิน บางก็ไม่ได้แม่แต่บาทเดียว ทนทุกมากับแม่เป็นเวลานานถึง 52 ปี ก่อนถึงวันพบศพ นาย บรรพต เคยบ่นให้แม่ และชาวบ้านเดียวกันฟัง ถือบัตรประชาชนติดตัวไป บ่นไม่สบายอยากจะไปหาหมอ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ จากนั้นก็ยังดิ้นรณออกหาเก็บของเก่า ของป่าขาย วันที่ตายอาจเข้าไปเก็บหน่อไม้ไผ่ แต่ว่าสุขภาพอยู่ในอาการป่วยอาจหนัก ยังดินรณเข้าไปไม่กอไผ่ คาดอาจเป็นลมหรือโรคประจำ 1 สิงหาคม 2568 อาจเป็นเพราะโรคกำเหลิบระหว่างเข้าไปเก็บหน่อไม้ อาจล้มหมดสติไปกายเป็นศพดังกล่าว แต่เนื่องจากเป็นป่าทึบหนาแน่น คนไม่เดินทางผ่านไปมาไม่ได้สังเกตดู จนกะทั่งทำให้ร่างเละเน่าเปื่อยอยู่คนเดียว พอหลังเจ้าหน้าได้บันทึกประจำบันไว้แล้ว ผู้เป็นแม่ไม่ติดใจ เลยมอบศพให้ไปเพื่อประกอบบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป ( ในระหว่างที่จะเอาศพไปตั้งที่วัด เจ้าอาวาทก็ไม่ให้นำเข้าอีก ) น่าเวทนา